การหมักโกโก้ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดในการแปรรูปเมล็ดโกโก้หลังการเก็บเกี่ยว เพื่อเปลี่ยนเมล็ดโกโก้ดิบที่มีรสฝาด ขม และกลิ่นไม่พึงประสงค์ ให้กลายเป็นเมล็ดโกโก้หมักที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว พร้อมสำหรับการนำไปตาก บด คั่ว และใช้ทำช็อกโกแลตคุณภาพสูง หากข้ามขั้นตอนนี้ไป จะไม่มีทางได้ช็อกโกแลตรสชาติกลมกล่อมที่เราคุ้นเคย
ปรับรสชาติ – กระบวนการหมักช่วยลดความฝาดและความขมในเมล็ด
สร้างสารตั้งต้นของกลิ่นและรส – ทำให้เกิดสารประกอบรสชาติ (flavor precursors) ที่จะพัฒนาต่อในขั้นตอนการคั่ว
ทำให้เมล็ดโกโก้หยุดงอก – หากไม่หมัก เมล็ดจะยังมีชีวิตและอาจงอกขึ้นมา
เปลี่ยนสีและเนื้อสัมผัส – เมล็ดจะเปลี่ยนจากสีขาวเป็นน้ำตาลม่วง และเปราะง่ายขึ้น
เพิ่มคุณภาพและมูลค่า – เมล็ดโกโก้ที่ผ่านการหมักดี จะมีราคาสูงกว่าที่ไม่หมัก
การหมักโกโก้ทั่วไปใช้เวลา 5–7 วัน โดยแบ่งเป็น 3 ระยะหลัก ๆ ได้แก่
กระบวนการ: ยีสต์ที่อยู่ตามธรรมชาติบนผิวเมล็ด จะย่อยน้ำตาลในเมือกโกโก้ (pulp) ให้กลายเป็นแอลกอฮอล์และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ลักษณะ: เมือกเริ่มเหลว มีกลิ่นแอลกอฮอล์อ่อน ๆ
ความสำคัญ: ทำให้สภาพแวดล้อมเป็นกรดเล็กน้อย ช่วยยับยั้งเชื้อที่ไม่พึงประสงค์
กระบวนการ: แอลกอฮอล์จากระยะแรกถูกแบคทีเรียอะซิโตแบคเตอร์ย่อยสลาย กลายเป็นกรดอะซิติกและความร้อน
ลักษณะ: อุณหภูมิในกองหมักสูงขึ้น 40–50 °C มีกลิ่นเปรี้ยวแรง
ความสำคัญ: ความร้อนและกรดซึมเข้าไปในเมล็ด ทำให้เซลล์เมล็ดตาย และเริ่มเกิดการสร้างสารตั้งต้นของรสชาติ
กระบวนการ: แบคทีเรียแลกติกและจุลินทรีย์อื่น ๆ สร้างกรดอินทรีย์เพิ่มเติม
ลักษณะ: กองหมักมีกลิ่นหอมคล้ายผลไม้ อุณหภูมิสูงสุดประมาณ 50 °C ก่อนจะค่อย ๆ ลดลง
ความสำคัญ: รสชาติเริ่มพัฒนาไปในทิศทางที่ซับซ้อน และเหมาะสำหรับการนำไปคั่วต่อ
ปัจจุบันเกษตรกรใช้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับพื้นที่และวัตถุดิบ
การหมักในตะกร้าไม้หรือกล่องไม้
นิยมมากในฟาร์มขนาดกลาง–ใหญ่
ระบายความร้อนได้ดี ควบคุมการพลิกกองได้ง่าย
ต้องพลิกกองหมักทุก 48 ชั่วโมง เพื่อให้ออกซิเจนกระจายทั่ว
การหมักในกองบนพื้น
ใช้วัสดุรองพื้น เช่น ใบตอง กระสอบป่าน หรือผ้าใบ
ต้นทุนต่ำ แต่ควบคุมอุณหภูมิและการปนเปื้อนยากกว่า
การหมักในถังพลาสติกหรือโอ่งดินเผา
เหมาะกับฟาร์มขนาดเล็กหรือการทดลอง
ใช้ง่าย เคลื่อนย้ายสะดวก แต่การระบายอากาศไม่ดีเท่ากล่องไม้
สายพันธุ์โกโก้ – พันธุ์ลูกผสม (เช่น Trinitario) มักหมักง่ายและให้รสชาติดีกว่าพันธุ์ Forastero ดิบ ๆ
อุณหภูมิและเวลา – หากอุณหภูมิไม่สูงพอ การหมักไม่สมบูรณ์ หากหมักนานเกินไป เมล็ดจะเปรี้ยวจัด
ปริมาณเมือก (pulp) – หากเมือกมากเกินไป อาจทำให้กองหมักเละและเน่าเสีย
การพลิกกองหมัก – จำเป็นเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่กองหมัก และช่วยกระจายจุลินทรีย์
ความสะอาด – อุปกรณ์และภาชนะต้องสะอาด ป้องกันเชื้อราและกลิ่นไม่พึงประสงค์
สี: น้ำตาลเข้มถึงม่วงช็อกโกแลต
กลิ่น: หอมหวานคล้ายผลไม้หรือไวน์ ไม่มีกลิ่นบูดเปรี้ยว
รสชาติ: ขมฝาดลดลงอย่างชัดเจน
โครงสร้าง: เมล็ดเปราะ หักง่าย มีรอยแตกแสดงถึงการตายของเซลล์เมล็ด
หมักไม่ทั่วถึง – เมล็ดด้านในกองหมักไม่โดนออกซิเจน ทำให้รสชาติไม่สม่ำเสมอ
หมักน้อยเกินไป – เมล็ดยังมีรสฝาดและไม่หอม
หมักนานเกินไป – เมล็ดมีรสเปรี้ยวแรงจนเสียสมดุล
การปนเปื้อน – เกิดเชื้อราหรือแมลงรบกวนจากการรักษาความสะอาดไม่ดี