มังคุด หรือที่รู้จักกันในนาม “ราชินีแห่งผลไม้เมืองร้อน” คือหนึ่งในผลไม้ไทยที่มีชื่อเสียงที่สุดในตลาดโลก ด้วยรสชาติหวานละมุนอมเปรี้ยว เนื้อขาวนวลละลายในปาก ทำให้กลายเป็นสินค้าที่ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติหลงรักโดยไม่ยาก ทว่า ในปี 2568 นี้ ภาพของมังคุดในตลาดผลไม้ไม่ได้สดใสเหมือนชื่อเสียงที่มี กลับกลายเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ทั้งในด้าน ราคา และ ปริมาณผลผลิต
ต้นฤดูกาลของปี 2568 มีสัญญาณดีเล็กน้อยเมื่อมังคุดล็อตแรกออกสู่ตลาด มีผู้ประกาศขายได้ในราคาสูงถึง กิโลกรัมละ 180 บาท สำหรับเกรดพรีเมียมคุณภาพสูงในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นแหล่งปลูกมังคุดสำคัญของประเทศไทย
แต่ราคานั้นอยู่ได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น — เมื่อผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดในปริมาณมาก ราคากลับ ร่วงลงทันทีในเวลาเพียงคืนเดียว โดยมังคุดเกรดคละเหลือเพียง 50–60 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่เกรดส่งออกอยู่ในช่วง 70–80 บาท ถือเป็นราคาที่ลดฮวบเมื่อเทียบกับต้นฤดูกาล และต่ำกว่าปี 2567 ที่เคยมีช่วงราคาสูงเกิน 100 บาท/กิโลกรัม
สาเหตุสำคัญของความผันผวนนี้ มาจาก กลไกตลาดที่ยังไม่เสถียร ประกอบกับพฤติกรรมของพ่อค้าคนกลางและล้งรับซื้อที่เร่งกดราคาหลังเห็นผลผลิตเริ่มทะลักเข้าสู่ตลาด
ในหลายอำเภอของจังหวัดจันทบุรี ตราด และระยอง ซึ่งถือเป็นหัวใจของการผลิตมังคุดในภาคตะวันออก ปีนี้กลับมีเสียงสะท้อนจากชาวสวนว่าผลผลิต ลดลงอย่างเห็นได้ชัด บางพื้นที่มีมังคุดเพียง 20–30% จากที่เคยมีในปีปกติ
สาเหตุไม่ได้มาจากโรคระบาดเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ สภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วงต้นปี ทำให้ต้นมังคุดออกดอกไม่พร้อมกัน ดอกร่วงก่อนติดผล และบางต้นมีอาการพักต้นหรือไม่ออกผลเลย
ยิ่งไปกว่านั้น บทเรียนอันเจ็บปวดจาก ปี 2567 ซึ่งราคามังคุดตกลงไปต่ำสุดถึง 8–10 บาทต่อกิโลกรัมในบางช่วง ทำให้ชาวสวนจำนวนมาก ตัดต้นทิ้งไปอย่างน่าเศร้า โดยเฉพาะกลุ่มสวนขนาดเล็กหรือผู้สูงวัยที่ไม่สามารถแบกรับต้นทุนดูแลต่อได้ จึงหันไปปลูกพืชอื่นที่ให้รายได้แน่นอนกว่า เช่น ทุเรียน ขนุน หรือกล้วยหอมทอง
ผลที่ตามมาคือ จำนวนต้นมังคุดในระบบลดลงจริง ซึ่งสะท้อนออกมาในปีนี้เมื่อผลผลิตในบางพื้นที่หายไปจากตลาดโดยสิ้นเชิง
ถึงแม้มังคุดไทยยังเป็นที่นิยมในตลาดจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภครายใหญ่ที่สุด คิดเป็นกว่า 90% ของยอดส่งออกมังคุดสดทั้งหมด แต่ มาตรการนำเข้าของจีนปีนี้เข้มงวดกว่าที่เคย
มีรายงานว่ามังคุดบางล็อตถูกปฏิเสธนำเข้า เพราะตรวจพบสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐาน และกระบวนการตรวจเข้มนี้ ทำให้หลายล้งจำเป็นต้อง คัดเกรดเข้มเป็นพิเศษ จึงรับซื้อเฉพาะมังคุดที่มีคุณภาพสูงจริงๆ ทำให้ราคามังคุดเกรดล่างถูกบีบลงไปอีก
แม้สถานการณ์ปีนี้จะดูมืดมน แต่ก็ยังพอมีแนวทางให้ชาวสวนและผู้ประกอบการได้ยึดเหนี่ยว ได้แก่
การแปรรูปเพิ่มมูลค่า – มังคุดสามารถแปรรูปเป็นน้ำมังคุด แยม ขนมอบแห้ง หรือผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งช่วยยืดอายุผลผลิตและเพิ่มช่องทางจำหน่าย
ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ – พื้นที่อย่างระนองเริ่มมีการปลูกมังคุดอินทรีย์ซึ่งสามารถขายได้ราคาสูงและปลอดภัยต่อผู้บริโภค ทำให้ได้รับความเชื่อมั่นจากตลาดพรีเมียม
การเปิดตลาดใหม่ – ควรลดการพึ่งพาตลาดจีนเพียงตลาดเดียว โดยผลักดันให้ส่งออกไปยังเกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ตะวันออกกลาง
แม้มังคุดจะยังคงเป็นผลไม้ที่คนรักและตลาดต่างประเทศยังต้องการ แต่หากไม่มีการปรับตัวอย่างจริงจัง ทั้งในด้านการผลิต การตลาด และการจัดการผลผลิต ประเทศไทยอาจสูญเสียตำแหน่งผู้นำตลาดมังคุดในไม่ช้า
ชาวสวนควรได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐทั้งเรื่องเทคโนโลยีการดูแลสวน การตลาดทางเลือก และราคาประกันรายได้ ขณะเดียวกันควรมีการวางแผนผลิตให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการ และเลิกหวังว่าตลาดจะกลับมาดีเหมือนเดิม หากไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเสียตั้งแต่วันนี้